พลังงาน นับเป็นปัจจัยสำคัญ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ ขณะเดียวกันปัญหาสิ่งแวดล้อม ก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ที่ต้องคำนึงถึงการดำเนินธุรกิจ
บริษัท บาฟส์ขนส่งทางท่อ จำกัด (BPT) บริษัทในเครือกลุ่ม บริษัท บาฟส์ (BAFS Group) ผู้ให้บริการขนส่งน้ำมัน ผ่านระบบท่อส่งน้ำมันใต้ดิน จึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ในการเสริมสร้างความมั่นคงทางโครงสร้างพื้นฐานพลังงานของประเทศ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพระบบขนส่งน้ำมันของประเทศจากรูปแบบเดิม สู่การขนส่งน้ำมันผ่านระบบท่อส่งน้ำมันใต้พื้นดิน ควบคู่ไปกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
เมื่อเร็วๆนี้ BPT ได้วางศิลาฤกษ์ โครงการก่อสร้างสถานีรับน้ำมัน และส่วนต่อขยายระบบท่อขนส่งน้ำมันสายเหนือระยะที่ 3 (อ่างทอง–สระบุรี) ขยายระบบขนส่งเส้นทางสถานีแยกระบบท่ออ่างทอง–คลังน้ำมันสระบุรี เชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งน้ำมัน ผ่านระบบท่อส่งน้ำมันใต้พื้นดิน ภาคตะวันออกสู่ภาคเหนือ เข้ากับระบบคลังน้ำมันสระบุรี เพื่อเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ในปี 2569
โดยเริ่มรับน้ำมันจากคลังน้ำมันสระบุรีของบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (Thappline) เชื่อมต่อกับระบบท่อขนส่งน้ำมันสายเหนือระยะที่ 1 บริเวณจังหวัดอ่างทอง ระยะทาง 52 กิโลเมตร (กม.) หลังก่อสร้างแล้วเสร็จจะทำให้ระบบท่อขนส่งน้ำมันของ BPT มีระยะทางรวม 726 กม. นับเป็นท่อขนส่งน้ำมันที่ยาวที่สุด ทันสมัยที่สุดของประเทศ และเป็นระบบท่อส่งน้ำมัน ที่ยาวที่สุดในอาเซียน
ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS กล่าวว่า โครงการดังกล่าว ช่วย ทำให้เกิดการพัฒนาระบบโครงข่าย ท่อขนส่งน้ำมันให้ครอบคลุม พื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออก ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการขนส่งพลังงาน
“คลังน้ำมันพิจิตรและคลังน้ำมันลำปาง เป็นจุดยุทธศาสตร์หลัก ในการเก็บสำรองน้ำมันของภาคเหนือและเป็นจุดจ่ายน้ำมันที่สำคัญไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ช่วยให้ผู้ประกอบการ ภาคเหนือรับน้ำมันจากโรงกลั่นภาคตะวันออก อีก 5 โรงกลั่น เมื่อเชื่อมท่อแล้วเสร็จจะส่งผลให้มีน้ำมันเพิ่มขึ้น 780 ล้านลิตร จากเดิมปีที่ผ่านมามีปริมาณการขนส่งน้ำมันผ่านระบบท่อ 1,200 ล้านลิตร”
การขนส่งน้ำมันทางท่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการขนส่งน้ำมันของประเทศให้สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ได้น้ำมันที่มีคุณภาพ สะอาด บริสุทธิ์ มีการสูญเสียน้ำมันจากการขนส่งน้อยที่สุด ลดต้นทุนจากการขนส่งและการจัดเก็บน้ำมัน ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำของราคาน้ำมันระหว่างภาคเหนือและกรุงเทพฯรวมถึงปริมณฑล ลดลง
การปรับเปลี่ยนจากการขนส่งทางรถยนต์สู่การขนส่งผ่านระบบท่อใต้ดิน ช่วยแก้ปัญหาด้านอุบัติเหตุ และสิ่งแวดล้อม จากฝุ่นควันที่เกิดจากการสันดาปของเครื่องยนต์ รวมถึงก๊าซพิษต่างๆที่ถูกปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม
“ตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการระบบท่อขนส่งน้ำมัน สายเหนือเมื่อปี 2562 BPT ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการขนส่งน้ำมันด้วยรถบรรทุกไปแล้วกว่า 80,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์”
เขาย้ำทิ้งท้ายอีกว่า บาฟส์มุ่งมั่นและพร้อมมีส่วนร่วมนำประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ผ่านการดำเนินงานในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม เพื่อบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในระดับประเทศต่อไป.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่